ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (Artificial Intelligence : AI) ถูกนำมาใช้เพื่อยกระดับการดำเนินงานในอุตสาหกรรมต่างๆ ของประเทศไทยมากขึ้น โดยบางองค์กรได้เริ่มนำมาใช้แล้วและบางองค์กรก็อยู่ในขั้นตอนวางแผนที่จะนำเอไอเข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผมเชื่อว่าหากทุกองค์กรนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้ยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานได้สำเร็จ ย่อมส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างแน่นอน บทความนี้ผมขอพูดถึงบทบาทของเอไอที่สามารถนำมาใช้กับอุตสาหกรรมอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบคุณภาพ การควบคุมกระบวนการการผลิต รวมทั้งประโยชน์ของการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้และความก้าวหน้าด้านอื่นๆ ครับ
ในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม สิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องให้ความสำคัญที่สุดคือ ความสะอาดในทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตจึงต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวดโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คุณภาพของอาหาร รสชาติ กลิ่น และบรรจุภัณฑ์ผ่านมาตรฐานที่กำหนด (Food Quality Control) และด้วยข้อกำหนดต่างๆ นี้ ส่งผลให้มีกระบวนการทำงานเพิ่มขึ้น ใช้เวลานานขึ้นและใช้จำนวนบุคลากรมากขึ้น เพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าว บางองค์กรจึงมีการนำเทคโนโลยี “Robot Tongue” และ “Robot Nose” มาทำหน้าที่ในการช่วยตรวจสอบคุณภาพอาหาร โดยใช้เซ็นเซอร์หลายชนิดที่ทำหน้าที่คล้ายกับต่อมรับรสของลิ้นมนุษย์ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผลเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลของผลิตภัณฑ์ที่มนุษย์เป็นคนกำหนดไว้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตสินค้าได้ตรงตามมาตรฐานก่อนส่งถึงมือผู้บริโภคต่อไป
นอกจากนี้เอไอยังสามารถช่วยคัดแยกผลผลิตทางการเกษตร เพื่อเตรียมส่งต่อไปใช้ในกระบวนการผลิตและแปรรูปต่างๆ เช่น การคัดแยกมันฝรั่ง โดยใช้แมชชีนเลิร์นนิ่ง (Machine Learning) ในการเรียนรู้ จดจำ สะสมข้อมูลลักษณะของมันฝรั่งต่างๆ ว่าลักษณะแบบไหนที่เหมาะกับการนำไปแปรรูปเป็นสินค้าประเภทใด เช่น นำไปผลิตเป็นอาหารกระป๋อง นำไปทำมันฝรั่งทอด เป็นต้น ซึ่งเป็นการช่วยลดภาระงานที่ต้องทำซ้ำของมนุษย์ ให้ได้ใช้เวลาในส่วนนี้ไปควบคุมดูแลงานในส่วนอื่นๆ ให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ความสะอาดและสุขลักษณะของเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในกระบวนการผลิต ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค เอไอสามารถเข้ามาทำหน้าที่ช่วยตรวจสอบ บันทึกข้อมูลการปฏิบัติงานของพนักงาน ว่ามีการทำความสะอาดถูกต้องตามขั้นตอนที่กำหนดหรือไม่ ผ่านกล้องวงจรปิด และรายงานผลแบบเรียลไทม์ให้กับผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ผ่านทางแอปพลิเคชันหรือเก็บเป็นข้อมูลสถิติที่แสดงบนแดชบอร์ด (dashboard) เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำข้อมูลนี้ไปปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานได้อย่างตรงจุด
อีกตัวอย่างความก้าวหน้าของเอไอที่นำมาใช้กับอุตสาหกรรมอาหารคือ เครื่องพิมพ์อาหาร 3 มิติ (3D Food Printing) ที่สามารถพ่นส่วนผสมของอาหารในรูปแบบของของเหลวทีละชั้น จนเกิดเป็นเมนูต่างๆ เช่น พิซซ่า เค้ก ซูชิ ซึ่งช่วยลดเวลาและขั้นตอนในการประกอบอาหาร ทำให้เรามีเวลาในการรังสรรค์เมนูใหม่ๆ ที่มีรสชาติและหน้าตาสวยงามน่ารับประทานมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถปรับส่วนผสมต่างๆ ให้เหมาะสมกับผู้บริโภคแต่ละคนได้ เช่น เพิ่มส่วนผสมของผักและผลไม้ ลดปริมาณไขมัน เพื่อตอบโจทย์คนรักสุขภาพ หรือเปลี่ยนส่วนประกอบบางชนิด เพื่อผู้บริโภคที่มีอาการแพ้อาหารบางประเภทได้ด้วยเช่นกัน มีรายงานเพิ่มเติมว่า องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (NASA) มุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้กับนักบินอวกาศ เพื่อปรับปรุงคุณภาพอาหารให้มีความหลากหลาย ไม่เกิดความเบื่อหน่ายกับเมนูเดิมๆ และให้สารอาหารที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายอีกด้วย
จะเห็นให้ว่าความสามารถของเทคโนโลยีเอไอ ประกอบกับการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ (Data Analysis) สามารถนำมาพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารได้หลายมิติ ทั้งการควบคุมคุณภาพ การช่วยทุ่นแรงมนุษย์ในกระบวนการผลิต รวมทั้งนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร ผมเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ทุกองค์กรจะสามารถนำเอไอเข้ามามีส่วนช่วยพัฒนาขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไกลสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างแน่นอน
Comments